เตาอบเบเกอรี่เลือกใช้แบบไหนดี
ในบรรดาเตาอบที่มีอยู่มากมายหลายประเภท อาจทำให้หลายคนต่างสงสัยกันใช่มั้ย ว่าเตาอบแต่ละประเภท มีคุณสมบัติ และข้อดี-ข้อเสียต่างกันยังไง แล้วเตาอบประเภทไหน ที่จะเหมาะกับการใช้อบเบเกอรี่ มากที่สุด
เตาอบ ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับธุรกิจเบเกอรี่ และอาหาร ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ครัวที่บรรดาร้านอาหารและร้านเบเกอรี่ต้องมีติดครัว และในปัจจุบันนี้ เตาอบก็มีให้ได้เลือกใช้งานมากมายหลายประเภท จึงเป็นที่มาของการตั้งคำถามทั้งจากนักอบมือใหม่ และนักอบมืออาชีพ ว่าควรเลือกใช้เตาอบประเภทไหนดีให้เหมาะกับการอบเบเกอรี่ หรือเตาอบแต่ละประเภท เหมาะที่จะใช้อบเบเกอรี่เมนูใดบ้าง วันนี้ยูนิลีเวอร์ ฟู้ดส์ โซลูชั่นส์ จึงไม่รอช้าที่จะนำข้อมูล และความรู้เรื่องเตาอบมาแบ่งปัน เพื่อเคลียร์ทุกข้อสงสัยของเหล่านักอบ
ประเภทของเตาอบ
1. เตาอบไฟฟ้า เป็นประเภทของเตาอบที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยความสะดวกสบายในการใช้งานเป็นเหตุผลหลัก ซึ่ง เตาอบไฟฟ้าสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- เตาอบแบบตั้งโต๊ะ (Countertop Oven) เป็นเตาที่ให้ความร้อนแบบขดลวดบนและล่าง มีตะแกรงสำหรับวางอาหารตรงกลางระหว่างขดลวด มีปุ่มให้เลือก เช่น ปุ่มอุณหภูมิ ปุ่มฟังก์ชัน และปุ่มตั้งเวลา เตาแบบนี้มีตั้งแต่ขนาด 10-60 ลิตร สำหรับมือใหม่หัดอบ แนะนำให้เลือกใช้เป็นเตาชนิดนี้ แต่เป็นขนาด 40 ลิตรขึ้นไป ซึ่งสามารถใช้อบเบเกอรี่ได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นเค้กปอนด์ (เค้กช็อกโกแลตรสส้ม), บราวนี่ (บราวนี่ชีสสตรอว์เบอร์รี, บราวนี่คิวบ์ราดครีมนมสตรอว์เบอร์รี), คุกกี้ (คุกกี้นิ่มฟักทอง) ทาร์ต (กราโนล่าทาร์ตมังคุด) หรือแม้แต่ขนมปังก้อนเล็ก ๆ ก็ได้เช่นกัน ควรเลือกเตาอบตั้งโต๊ะที่มีปุ่มปรับอุณหภูมิได้ และที่สำคัญต้องมีฟังก์ชันไฟบน-ล่าง ไฟล่างอย่างเดียว หรือ ไฟบนอย่างเดียว รวมถึงฟังก์ชันเปิด-ปิดพัดลมได้ ซึ่งถือเป็นฟังก์ชันที่จำเป็นต้องมีไว้ปรับใช้ สำหรับการใช้อบขนม หรือเบเกอรี่
ข้อดี : ขนาดเล็ก กระทัดรัด ราคาไม่สูงมาก มีขนาดให้เลือกหลายขนาด
ข้อเสีย : เตาอบแบบตั้งโต๊ะส่วนใหญ่ ฝาเตาอบเป็นกระจกชั้นเดียว ทำให้การรักษาอุณหภูมิในเตาอบไม่เสถียร วัสดุภายในเครื่องอบค่อนข้างบอบบาง เวลาอบจึงมีไอร้อนแผ่ออกนอกเตาด้วย
- เตาอบแบบฝัง (Built-In Ovens) เป็นเตาอบแบบมัลติฟังก์ชันที่สามารถทำอะไรได้อย่างหลากหลายในเตาอบเครื่องเดียว เตาอบแบบฝังสามารถตั้งอุณหภูมิได้สูงกว่าเตาอบแบบตั้งโต๊ะ สามารถกันความร้อนไม่ให้กระจายสู่ด้านนอก มีระบบระบายความร้อนที่ดี บางรุ่นยังมีฟังก์ชันช่วยให้อบขนมต่าง ๆ ได้หลากหลายเมนู เช่น ชีสทาร์ตลาวา, ชีสเค้กมินิบอลแฟนซี, มัฟฟินเบคอนสเปรดครีมอาโวคาโด ทั้งยังใช้งานได้สะดวกรวดเร็วอีกด้วย
ข้อดี :
- อุณหภูมิจะเสถียรกว่าเตาอบแบบตั้งโต๊ะ
- บานประตูกระจกมี 2 ชั้น ป้องกันความร้อน จึงให้ความปลอดภัยขณะใช้งาน
ข้อเสีย :
- เมื่อใช้งานไปนาน ๆ บางจุดของเตาอาจไฟแรงไม่เท่ากัน ระดับไฟภายในเตาบางจุดอาจมีความเบา หรือแรงไม่เท่ากัน
- ราคาค่อนข้างสูง
2. เตาอบแก๊ส (Gas Oven) เตาอบชนิดนี้เหมาะกับการอบในปริมาณมาก แต่ข้อจำกัดของเตาอบแก๊สน่าจะเป็นเรื่องการควบคุมอุณหภูมิที่ค่อนข้างยาก โดยทั่วไปจะนิยมใช้เตาอบประเภทนี้ทำเมนูเบเกอรี่ เช่น มัฟฟิน (ซันเดย์-บรันซ-มัฟฟิน), พาย (พายกล้วยไข่เชื่อม) และขนมปัง เบรด-แอนด์-บัตเตอร์-พุดดิ้งขนมปัง, ขนมปังซากุระไส้ครีมชีสชาเขียว, ขนมปังกระเทียมครีมชีส) เป็นต้น
ข้อดี :
- ราคาถูกและประหยัดพลังงาน เนื่องจากการใช้แก๊สเป็นแหล่งพลังงาน
- สามารถนำความร้อนได้ดี เนื่องจากโครงสร้างส่วนใหญ่ทำจากเหล็ก
ข้อเสีย :
- ใช้งานยาก เพราะต้องปรับแรงดันแก๊สด้วยตัวเองทำให้อุณหภูมิไม่คงที่
- ต้องคอยกังวลกับปัญหาแก๊สรั่วไหล
3 เตาอบลมร้อน (Convection Oven)
เป็นเตาสำหรับมือโปรที่ขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะอบได้ทีละหลาย ๆ ชั้น โดยอาศัยการให้ความร้อนด้วยระบบพัดลมกระจายความร้อน ทำให้ขนมออกมาสุก และสีค่อนข้างสม่ำเสมอกันทุกถาด เตาอบประเภทนี้เหมาะสำหรับใช้ใน ในการอบเบเกอรี่ อย่าง มาการอง (มาการองครีมชีสมะนาว ), ชูครีม ครัวซองต์ (ครัวซองต์คัสตาร์ดฝอยทอง, ครัวซองต์ไส้ไก่ทอดเกาหลีซอสหัวหอมมายองเนส, ครัวซองต์ปูอัดครีมไข่กุ้ง ) หรือพัฟ (พัฟพิซซ่าอกไก่มะม่วงน้ำดอกไม้, พัฟพิซซ่าบุลโกกิ, พัฟพิซซ่าปูอัด) เป็นต้น และในปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่มีฟังก์ชันคล้าย ๆ เตาอบลมร้อน แต่ใช้งานง่ายและสะดวกมากขึ้น นั่นก็คือหม้ออบลมร้อน เป็นอุปกรณ์ครัวที่สามารถประกอบอาหารได้หลากหลาย สำหรับวงการเบเกอรี่สามารถใช้หม้ออบลมร้อนทำเมนูเบเกอรี่ที่เป็นเมนูง่าย ๆ ได้เช่น บราวนี่ คัพเค้ก (เรดเวลเวทคัพเค้ก) เค้กกล้วยหอม และเค้กเนยสด เป็นต้น
ข้อดี :
- มีฟังก์ชันการทำงานที่ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก
- เตาอบไม่ค่อยกินไฟ ไม่ต้องกังวลเรื่องเปลืองไฟ
ข้อเสีย :
- ไม่มีตัวปิดพัดลม หากอบขนมเค้กอาจจะต้องสตรีมไอน้ำ หรืออบแบบรองน้ำและปิดหน้าขนม
- มีขนาดใหญ่ ต้องมีพื้นที่สำหรับวางเตาอบมากพอสมควร
4. เตาอบขนาดใหญ่ (Deck Oven) เหมาะสำหรับงานเบเกอรี่โดยเฉพาะ เพราะเตาประเภทนี้สามารถใช้อบขนมได้ทีละมาก ๆ อาจจะเป็นเตาอบไฟฟ้า แก๊ส หรือระบบแก๊สแต่ควบคุมด้วยไฟฟ้าก็ได้ ตัวเตาจะมีลักษณะแบน ๆ มีขาตั้งขึ้นมา อาจจะซ้อนกัน 1-4 ชั้นสามารถสั่งประกอบได้ เตาชนิดนี้เหมาะสำหรับขนมปังสไตล์ยุโรป ที่ต้องการความร้อนจากด้านล่างเป็นหลัก เพื่อทำให้เกิด texture พิเศษของขนมปัง เช่น บาร์เกตต์ พิซซ่า (โทสต์พิซซ่าไส้กรอกใบโหระพา, พิซซ่าโรลเบคอนแฮมชีสข้าวโพด, มินิพิซซ่าฮาวายเอี้ยน) หรือคุกกี้ (เรดเวลเวท ถั่วแดง คริงเกิ้ล) เป็นต้น
ข้อดี :
- ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้อบเบเกอรี่โดยเฉพาะ จึงเหมาะกับการใช้อบเบเกอรี่ได้ทุกประเภท โดยเฉพาะเมนูขนมปังสไตล์ยุโรป
- สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้หลายรูปแบบ สามารถเลือกใช้การนำไฟฟ้าได้ทั้งเตาแก๊ส และไฟฟ้า
ข้อเสีย :
- ควบคุมอุณหภูมิยาก
- เป็นเตาอบที่ไม่มีพัดลม ทำให้อบเบเกอรี่ประเภทครัวซองต์ (Croissants) และ พัฟ (Puff) ได้ไม่สวย
5. เตาอบคอมบิ (Combi Oven) หรือ Combination หมายถึงเตาอบที่รวมฟังก์ชันเตาอบลมร้อน และเตานึ่ง เข้ามาอยู่ในเตาเดียวกัน สามารถตั้งโปรแกรมให้ใช้ความร้อนทั้งสองแบบพร้อมกันได้ โดยส่วนใหญ่เตาอบชนิดนี้ จะเหมาะกับการอบอาหารคาวมากกว่า จึงนิยมใช้ในร้านอาหาร ไม่นิยมนำมาใช้ในร้านเบเกอรี่
ข้อดี :
- ตั้งโปรแกรมการทำอาหารได้ค่อนข้างหลากหลายในครั้งเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบทุกขั้นตอน จึงช่วยประหยัดเวลาได้มากขึ้น
- ควบคุมการกระจายลม ความร้อน ได้อย่างทั่วถึงด้วยพัดลมภายในตู้เตาอบ ทำให้อาหารสุกทั่วถึง สีสันอาหารสวยงาม
- ใช้ปรุงอาหารหลายชนิดได้ในเวลาเดียวกัน เพราะระบบไอน้ำจะช่วยป้องกันการปะปนกันของกลิ่นอาหาร
ข้อเสีย :
- เมื่อใช้งานไปนาน ๆ มักจะมีคราบตะกรันเข้าไปอุดตันและไปสะสมอยู่บนเฉดสีของเครื่องกำเนิดไอน้ำ
- เตาอบมีขนาดใหญ่ อาจจะทำให้เปลืองที่ในการติดตั้ง
สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกซื้อเตาอบ
- ความเหมาะสมของขนาดเตาอบ
การเลือกขนาดของเตาอบ ควรเลือกให้เหมาะสมกับพื้นที่ตั้ง และความถี่ในการทำอาหาร รวมไปถึงรูปแบบของเมนู เพราะขนาดยิ่งใหญ่ ความจุยิ่งเยอะ ก็ยิ่งมีราคาสูง และกินพื้นที่ หากต้องการเตาอบสำหรับทำอาหารกินภายในครอบครัว ควรเลือกเป็นเตาอบไฟฟ้าตั้งโต๊ะ ขนาดประมาณ 20 ลิตร หรือถ้าเน้นทำขนมปังปิ้ง หรืออบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ควรเลือกเตาอบที่มีขนาดต่ำกว่า 20 ลิตร แต่ถ้าเปิดร้านอาหาร ร้านขนม หรือคาเฟ่ ก็ควรเลือกเตาอบไฟฟ้าหรือเตาอบลมร้อนขนาดใหญ่ 45–60 ลิตร ขึ้นไป
- ฟังก์ชันและความเหมาะสมในการใช้งาน
ฟังก์ชันการใช้งานของเตาอบ อย่างน้อยควรเลือกที่สามารถปรับอุณหภูมิได้หลากหลาย และมีให้เลือกทั้งการใช้ไฟบน-ไฟล่าง แต่สำหรับธุรกิจเบเกอรี่ที่ต้องการใช้ฟังก์ชันแบบครบครัน ก็ควรเลือกใช้เตาอบขนาดใหญ่ หรือเตาอบที่ออกแบบมาสำหรับการทำเบเกอรี่โดยเฉพาะ อย่างเช่น เตาอบลมร้อน (Convection Oven) หรือ เตาอบขนาดใหญ่ (Deck Oven)
- พื้นที่ในการติดตั้ง
การคำนวณพื้นที่ และความเหมาะสมของพื้นที่ในการติดตั้งเตาอบก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากฟังก์ชันที่ต้องการใช้แล้ว ควรพิจารณาด้วยว่ามีพื้นที่เพียงพอ และเหมาะสมในการติดตั้งแต่อบในแต่ละประเภทหรือไม่
เช่น การติดตั้งเตาอบไฟฟ้าแบบตั้งโต๊ะ (Countertop Oven) ควรอยู่ใกล้ปลั๊กไฟ และอยู่ห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ พอสมควร และไม่ควรวางชิดผนังเพื่อให้ความร้อนสามารถระบายออกได้สะดวก ส่วนเตาอบไฟฟ้าแบบฝัง (Built-In Ovens) ควรตัดสินใจเลือกซื้อให้ได้ก่อนทำเคาน์เตอร์ครัว เพื่อให้ช่างสามารถวัดขนาดและออกแบบเคาน์เตอร์ให้เหมาะสมกับการวางเตาอบเข้าไปใต้เคาน์เตอร์ได้ เป็นต้น
สำหรับผู้ประกอบการ หรือนักอบทั้งมือใหม่ และมืออาชีพ ที่กำลังมองหาเครื่องอบ หรือมีแพลนจะเลือกซื้อเครื่องอบมาไว้ใช้ในกิจการ แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเลือกซื้อเตาอบ หรืออุปกรณ์สำหรับอบประเภทไหนดี ให้เหมาะกับการใช้อบเบเกอรี่ ยูนิลีเวอร์ ฟู้ดส์ โซลูชั่นส์ หวังว่าข้อมูล ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับเตาอบแต่ละประเภทที่เราหยิบมานำเสนอให้ในวันนี้ จะสามารถให้คำตอบ และเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจให้กับผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าผู้ประกอบการท่านไหนกำลังมองหาวัตถุดิบเบเกอรี่คุณภาพดี คุ้มค่าคุ้มราคา ก็สามารถตามไปเลือกช็อปจากยูนิลีเวอร์ ฟู้ด โซลูชั่นได้เลย
วัตถุดิบเบเกอรี่คุณภาพ
เคล็ดลับอื่นๆ สำหรับนักอบเบเกอรี่
สิ่งที่คุณจะได้รับ:
- ฟรี หลักสูตรอบรมด้านธุรกิจอาหารและการทำอาหาร
- สูตรอาหารและเคล็ดลับที่ดีที่สุดจากเชฟทั่วโลก
- เทรนด์การทำอาหารล่าสุด